28.8 C
Bangkok

รู้จัก ความสัมพันธ์แบบภาพลวงตา 2567

Published:

ภาพลวงตา หมายถึง ภาพที่หลอกตาให้มองเห็นและรับรู้ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง ส่วนใหญ่สายตาจะรับรู้ผิดพลาดเกี่ยวกับรูปทรง ขนาด และสี ซึ่งมักถูกมาเปรียบเทียบกับ ความสัมพันธ์แบบภาพลวงตา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบหลอกๆ 

ความสัมพันธ์แบบภาพลวงตา

ภาพลวงตา (Optical illusion) หมายถึง ภาพที่หลอกตาให้มองเห็นและรับรู้ผิดพลาดไปจากความเป็นจริง
ส่วนใหญ่สายตาจะรับรู้ผิดพลาดเกี่ยวกับรูปทรง ขนาด และสี ในบางครั้งตาของคนเราก็ไม่ได้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่จริงเสมอไปและสามารถถูกหลอกได้ง่ายตาและสมองของคนเราจะทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดมาก โดยตาทำหน้าที่รับภาพเข้ามา ส่วนสมองทำหน้าที่ประมวลผลและวิเคราะห์ว่า
ภาพที่รับเข้ามาเป็นภาพอะไร มีสีอะไร เป็นภาพเคลื่อนไหวหรือภาพนิ่งในพื้นที่แบบเดิมๆ ภาพลวงตาในงานออกแบบ จะสร้างความรับรู้แบบใหม่ให้เกิดขึ้น โดยอาศัยความผิดพลาดของการส่งข้อมูลที่แตกต่างกันไปยังสมอง ในปัจจุบัน ภาพลวงตาในงานออกแบบสามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้วัตถุต่างๆ นำมาประกอบร่างกัน และสร้างความน่าตื่นเต้นให้ผู้ที่ได้พบเห็นอยู่เสมอ ผิดกับการออกแบบให้เกิดภาพลวงตาในสมัยก่อน ที่ผู้ออกแบบจะใช้เพียงแค่เส้น และสีเท่านั้น

ภาพลวงตาเกิดขึ้นเนื่องจากกระบวนการในสมองขณะที่มองเห็นภาพหรือรับสัญญาณทางสายตาที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาด อาทิเช่น:

  1. การปรับสมดุลของสมอง: สมองมนุษย์มีกลไกในการปรับสมดุลและประมวลผลข้อมูลที่เข้าสู่สมอง บางครั้งสมองอาจจับคู่ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกันหรือไม่เกี่ยวข้องกันมาแสดงผลให้เกิดภาพลวงตา
  2. การปรับตัวของสายตา: สายตามนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวและปรับเปลี่ยนตามเงื่อนไขแวดล้อม แต่บางครั้งการปรับตัวนี้อาจทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาด เช่น เมื่อสายตาโดยส่วนใหญ่มองหนึ่งปรากฏการณ์ แต่ส่วนหนึ่งของสายตาอาจมองสิ่งอื่นที่อยู่ใกล้เกินไป
  3. การใช้เทคนิคการสร้างภาพ: บางครั้งภาพลวงตาเกิดจากการใช้เทคนิคการสร้างภาพที่ทำให้สมองมีการตีความผิด อย่างเช่น ภาพที่ใช้เทคนิคการสร้างภาพเคลื่อนไหวหรือเทคนิคการใช้สีที่มีเท็จจริงในการสร้างภาพ
  4. ความผิดพลาดในการประมวลผลข้อมูลทางสายตา: บางครั้งสมองอาจทำการประมวลผลข้อมูลทางสายตาที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาด เช่น การละเว้นข้อมูลหรือการเข้าใจข้อมูลที่ผิดปกติ

สำหรับแต่ละบุคคล สามารถมีสาเหตุที่เป็นเอกสิทธิ์เองในการเกิดภาพลวงตาได้ และบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการปรับตัวของสมองหรือสายตาในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น การมองภาพที่มีความซับซ้อน การมองแสงที่แตกต่างกัน หรือสภาวะทางจิตใจ เช่น ความเครียด ความเหนื่อยล้า หรือสภาวะอารมณ์ที่ไม่สมดุล เป็นต้น

ความสัมพันธ์แบบภาพลวงตา 2567

ในบางครั้งตาของคนเราก็ไม่ได้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่จริงเสมอไปและสามารถถูกหลอกได้ง่าย ตาและสมองของคนเราจะทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดมาก โดยตาทำหน้าที่รับภาพเข้ามา ส่วนสมองทำหน้าที่ประมวลผลและวิเคราะห์ว่าภาพที่รับเข้ามาเป็นภาพอะไร มีสีอะไร เป็นภาพเคลื่อนไหวหรือภาพนิ่ง เมื่อแสงจากวัตถุกระทบกับเลนส์ตาจะเกิดการหักเหและเกิดเป็นภาพจริงบริเวณจอตา(retina) และจอตาก็จะดูดซับและแปลงภาพให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งต่อไปยังสมอง

สาเหตุของการเกิดภาพลวงตา

สาเหตุที่คนเราเห็นภาพลวงตานั้นมาจากวิวัฒนาการของสมองด้านการประมวลผลภาพ หากสมองใช้เวลานานมากเกินไปในการประมวลผลภาพอาจจะทำให้เกิดผลเสียขึ้นได้ เช่น ถ้าเราขับรถอยู่และสมองต้องประมวลผลทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นทุก ๆ ครั้ง กว่าจะรับรู้ว่ามันคืออะไรและควรทำอย่างไร ก็คงจะขับรถชนมันไปก่อนแล้ว สมองจึงต้องใช้วิธีลัดทุกวิธีที่จะได้ผลลัพธ์ออกมาให้เร็วที่สุด มันจึงเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นเข้ากับสมมติฐานจากประสบการณ์ประกอบเป็นสิ่งที่เรารับรู้

สาเหตุของการเกิดภาพลวงตาสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

  1. เกิดจากความสามารถในการกวาดสายตาในแนวดิ่งและแนวราบไม่เท่ากัน
  2. เกิดจากตา 2 ข้าง ส่งข้อมูลที่แตกต่างกันไปยังสมอง
  3. เกิดจากการเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใด (Embeddedness)
  4. เกิดจากการเกิดมุมหรือ การตัดกันของเส้น (Angle of Intersection Lines)
  5. เกิดจากการเปรียบเทียบ หรือขนาดสัมพัทธ์ (Relative Size)
  6. เกิดจากสิ่งแวดล้อม
  7. เกิดจากการมองภาพด้วยนัยน์ตาทั้งสองข้าง
  8. เกิดจากเซลล์ประสาทตามีขีดจำกัดในการรับรู้
  9. เกิดจากสมบัติของแสง เช่น ภาพลวงตาที่เกิดจากการสะท้อนของแสง ทำให้ภาพมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุของจริง

ภาพลวงตาทางบวก คือ 2567

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลไว้ดังนี้ การเกิดภาพลวงตาทางบวก ประกอบด้วย การเห็นคุณค่าในตนเองสูง หรือมองตนเองในทางบวกเกินจริง การรับรู้ว่าตนมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เกินความสามารถที่แท้จริงของตนเอง และการมองโลกในแง่ดีว่าในอนาคตจะมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น

การเกิดภาพลวงตาทางบวกนั้นเป็นสิ่งที่เกิดได้ในบุคคลทั่วไป เราจะมองตนเองตามจริงและมีแนวโน้มไปในทางบวกเกินจริงหรือเกิดภาพลวงตาทางบวกเกี่ยวกับตนเอง ส่วนบุคคลที่มองตนเองไปในทางลบเกินจริงคือผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า

กล่าวได้ว่า การเกิดภาพลวงตาทางบวกนี้เปรียบเสมือนต้นทุนทางจิตให้บุคคลสามารถเผชิญกับอุปสรรคปัญหาและผ่านพ้นไปได้ รวมทั้งส่งผลให้บุคคลมีสุขภาวะทางจิตที่ดี ขณะที่บุคคลที่มองแต่ความจริงมากเกินไป ไม่มีการสร้างภาพลวงตาทางบวกเลย มีแนวโน้มที่จะมีความทุกข์ จัดระบบตนเองไม่ดี และส่งผลกระทบต่อสุขภาวะ

การสร้างภาพลวงตาทางบวกในความสัมพันธ์

คือ การสร้างภาพในจินตนาการตามอุดมคติทางบวก และมีอุดมคติที่มาจากความประทับใจต่อคู่รักซึ่งมีพื้นฐานมาจากความเป็นจริง โดยจะเน้นไปที่ข้อดีของคนรัก และมองข้ามข้อเสียของคนรัก

ตัวอย่างเช่น ความจริงของสามีเป็นคนเจ้าชู้ ชอบนอกใจภรรยา แต่สามีมีข้อดีคือหาเงินเก่ง เลี้ยงดูครอบครัวได้ ภรรยามองข้ามข้อเสียเกี่ยวกับความเจ้าชู้ของสามีไป สร้างภาพลวงตาโดยเน้นไปที่ข้อดีคือความสามารถในการดูแลครอบครัวของสามี ภาพลวงตาที่ภรรยาสร้างขึ้นนี้ นักจิตวิทยาพบว่า ทำให้ภรรยารับรู้ว่าสามีดูแลครอบครัวได้ดี มากกว่าที่สามีมองตนเองเสียอีก (Murray & Holmes, 1993)

การศึกษาในคู่รักและคู่สมรสหลาย ๆ งานในหลายปีที่ผ่านมา สามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจในคนรักและความสัมพันธ์ เกิดมาจากการที่บุคคลสร้างอุดมคติเกี่ยวกับคนรักของตนขึ้นมา เมื่อมีคนรัก บุคคลมักจะมองคนรักไปตามอุดมคติที่ตนสร้างไว้ การสร้างภาพลวงตาทางบวกนี้มีพื้นฐานความจริง จึงเกิดการถ่ายโอนการกระทำทางบวกไปสู่คนรัก คนรักจึงมีพฤติกรรมทางบวกเช่นนั้นตามไปด้วย (Self-fulfilling)

นอกจากนี้ การรับรู้ตนเองในทางบวกและมีความสงสัยในตนเองต่ำ ส่งผลให้บุคคลเชื่อว่าพวกเขาจะมีคนรักที่ดีได้ ดังนั้น การรับรู้ตนเอง การรับรู้คนรักตามอุดมคติ และการรับรู้คนรักตามความเป็นจริง จึงมีผลต่อความพึงพอใจทั้งในคนรักและความสัมพันธ์ทั้งสิ้น

แก้อาการภาพลวงตา 

ภาพลวงตา (Optical illusion) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสายตาของเราได้รับสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาดหรือมองเห็นภาพในรูปแบบที่แปลกประหลาด การแก้ไขอาการภาพลวงตามักจะขึ้นอยู่กับประเภทของภาพลวงตาและวิธีการที่ใช้ในการสร้างภาพลวงตานั้น แต่มักมีวิธีที่ช่วยลดอาการภาพลวงตาได้บ้างดังนี้:

  1. การเปลี่ยนที่ตั้ง: ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตำแหน่งของตัวคุณต่อภาพ บางครั้งการมองโดยมองตรงมุมอาจช่วยให้เห็นภาพที่ถูกต้องได้มากขึ้น
  2. การเชื่อมโยงกับภาพเพิ่มเติม: ลองนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปหรือภาพที่เป็นภาพลวงตา เพื่อให้สามารถเข้าใจว่าเหตุผลที่ทำให้เกิดภาพลวงตานั้น
  3. การทำซ้ำ: ลองมองภาพหรือสิ่งของที่เป็นภาพลวงตาหลายครั้ง เพื่อให้สมองมีโอกาสได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและปรับปรุงการรับรู้
  4. การใช้สาระและความรู้: ระหว่างการมองภาพลวงตา พยายามระวังว่าสิ่งที่คุณมองเห็นมีความสัมพันธ์กับความเป็นจริงอย่างไร และใช้ความรู้หรือสาระเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อช่วยในการเข้าใจ
  5. การพัฒนาทักษะการมองเห็น: บางครั้งการฝึกฝนทักษะการมองเห็นและการรับรู้สิ่งต่างๆ อาจช่วยเพิ่มความชัดเจนในการมองเห็นและลดการเกิดภาพลวงตาได้

อย่างไรก็ตาม ภาพลวงตาอาจเกิดขึ้นเนื่องจากความต่างกันในสาระสำคัญของการมองภาพ และบางครั้งอาจไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่การใช้วิธีดังกล่าวอาจช่วยลดอาการภาพลวงตาให้น้อยลงได้บ้าง

หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับการมองภาพลวงตาที่มีผลกระทบต่อคุณหรือชีวิตประจำวันของคุณ ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตาเพื่อขอคำปรึกษาและการวินิจฉัยที่แท้จริง โดยอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม

ภาพลวงตาเป็นโรคหรือไม่ 

ภาพลวงตาไม่ใช่โรคและมักเป็นปรากฏการณ์ที่ปกติที่เกิดขึ้นเมื่อสายตาได้รับสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการเห็นภาพที่สร้างมาจากการใช้เทคนิคการวาดหรือการจัดเรียงภาพที่ทำให้เกิดความสับสนในสายตา เช่น ภาพที่ดูเคลื่อนไหวแม้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้เคลื่อนไหว หรือภาพที่ดูเป็นรูปภาพของสิ่งสองส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มองเหมือนว่าเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นต้น

อาการภาพลวงตานี้มักจะหายไปเมื่อเราเปลี่ยนมุมมองหรือเลื่อนสายตาของเรา และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสายตาหรือสุขภาพทั่วไปของผู้ที่เกิดอาการนี้ โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษาเองเพราะไม่ได้เป็นโรคหรือภาวะที่ต้องการการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง

อ่านบทความเพิ่มเติม คลิก

Related articles

spot_img

Recent articles

spot_img