โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมองถูกขัดขวางหรือมีการขาดส่งออก เป็นผลมาจากการตามเนื้อเยื่อหรือเซลล์ในสมองที่ได้รับอาหารหรือออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น การตีบ การตัน หรือการอุดตันของหลอดเลือดที่เชื่อมต่อกับสมอง สามารถทำให้เกิดอาการของโรคหลอดเลือดสมองได้ เช่น อาการสมองเสื่อม อาการสมองขาดเลือด หรืออาการสมองอักเสบ เป็นต้น
โรคหลอดเลือดสมอง ภัยร้ายใกล้ตัว
ความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองขาดเลือด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
โรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน (Ischemic Stroke): เกิดขึ้นเมื่อมีการอุดตันของเลือดไปสู่สมอง เช่น การเกิดลิ่มเลือด (blood clot) ในหลอดเลือดสมองหรือในหลอดเลือดที่นำเลือดไปสู่สมอง หรือเมื่อเลือดมีการไหลเล็กน้อยเพียงพอที่จะเลี้ยวทางไปที่สมองได้
โรคหลอดเลือดสมองชนิดอิ่มตัน (Hemorrhagic Stroke): เกิดขึ้นเมื่อมีการรั่วของเลือดออกมาจากหลอดเลือดในสมอง ซึ่งอาจเกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมอง (intracerebral hemorrhage) หรือการแตกของเส้นเลือดดีดสมอง (subarachnoid hemorrhage)
โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อายุ: คนที่มีอายุมากกว่า 55 ปีมีความเสี่ยงสูงขึ้นสำหรับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
เพศ: ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าหญิง แต่หญิงที่มีอายุตั้งแต่ครบระหว่างวัยเจริญพันธุ์ถึงประมาณวัยหกสิบ หรือหลังการคลอดเจ็บแล้วอายุต่ำกว่า และหญิงที่ใช้ยาคุมก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ประวัติครอบครัว: หากมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ความดันโลหิตสูง: การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยลดความเสี่ยง
โรคเบาหวาน: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดความเสี่ยง
โรคหัวใจ: การรักษาโรคหัวใจและตรวจสุขภาพประจำตัวอย่างสม่ำเสมอ
สุขภาพหลอดเลือด: สุขภาพหลอดเลือดที่ดีช่วยลดความเสี่ยง เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม การลดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
สุขภาพจิต: ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าอาจมีผลต่อความเสี่ยง
การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากมีผลต่อการเกิดโรค
การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง
อาการของโรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทหลักคืออาการของ Ischemic Stroke (โรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน) และ Hemorrhagic Stroke (โรคหลอดเลือดสมองชนิดอิ่มตัน) ซึ่งอาการของแต่ละประเภทอาจแตกต่างกันไปดังนี้
Ischemic Stroke (โรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน):
อาการทางด้านการพูดและเขียน
การพูดตรงต่อไปยากขึ้นหรือไม่สามารถพูดออกมาได้เป็นปกติ
คำพูดอาจมัวหรือไม่เป็นระเบียบ
อาการปัญหาในการเคลื่อนไหว
อาจมีปัญหาในการเคลื่อนไหวของแขนหรือขาบางข้างของร่างกาย
ส่วนของร่างกายบางส่วนอาจหมดสมรรถภาพ
อาการสายตา
มองเห็นภาพไม่ชัดเจนหรือมีการสลายของสิ่งมองเห็น
สามารถมองเห็นแต่ด้านหนึ่งของที่มองเห็นได้
อาการทางสมองอื่น ๆ
อาจมีอาการเหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะ
อาจมีอาการสับสนหรือไม่คุ้นเคยกับสิ่งรอบตัว
Hemorrhagic Stroke (โรคหลอดเลือดสมองชนิดอิ่มตัน):
อาการความเจ็บปวด
เจ็บปวดที่ศีรษะรุนแรงและเฉียบพลัน
รู้สึกเหมือนมีการระคายเคืองในส่วนหนึ่งของศีรษะ
อาการทางด้านการตรวจสุขภาพ
ความดันโลหิตสูงอาจเป็นที่สุด
การตรวจสุขภาพอาจพบสัญญาณของการเจ็บปวดหรือความเสียหายในสมอง
อาการทางสมอง
มีอาการหน้าร้อนหรือระคายเคือง
การรู้สึกไม่ค่อยได้หรือสับสน
อาการอื่น ๆ
อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการเจ็บเมื่อมุ่งมั่นในการเคลื่อนไหว
การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง
การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองจะมีขั้นตอนและวิธีการตรวจหลายวิธี โดยตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองมีเป้าหมายในการระบุว่าเกิดการขาดเลือดหรือการรั่วเลือดในสมองหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการตรวจวินิจฉัยเพื่อประเมินความรุนแรงของอาการและการเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองต่อไปด้วย วิธีการตรวจวินิจฉัยที่พบบ่อย ๆ ได้แก่
การประเมินอาการและประวัติการเจ็บป่วย
การสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น เวลาที่เริ่มต้นของอาการ ระยะเวลาที่อาการเกิด และอาการอื่น ๆ ที่อาจมี
การระบุประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติการเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
การตรวจความชุกและความปกติของการเคลื่อนไหว การสมองเสื่อม การตรวจความรุนแรงของอาการและความสามารถในการสื่อสาร
การตรวจความดันโลหิต อาการที่เกิดขึ้นเมื่อประกอบกับแรงเหนี่ยวนำ
การฉายภาพด้วยการใช้เครื่องมือทางการแพทย์
การสแกน CT (Computed Tomography): เป็นวิธีการที่พื้นฐานและเร็วที่สุดในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยในการตรวจหาการลิ่มเลือดหรือการตันที่เกิดขึ้นในสมอง
การสแกน MRI (Magnetic Resonance Imaging): เป็นวิธีการที่มีความละเอียดสูงมาก ช่วยในการตรวจหาอาการของโรคหลอดเลือดสมองและตรวจสอบความเสียหายในสมอง
การตรวจการไหลเวียนของเลือด
การตรวจ Angiography: วิธีการที่ใช้สำหรับการดูภาพของหลอดเลือดในสมอง เพื่อตรวจสอบการตันหรือการอุดตันที่เกิดขึ้น
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองจะขึ้นอยู่กับประเภทของ Stroke และความรุนแรงของอาการ โดยมีวิธีการรักษาหลายแบบดังนี้
- Ischemic Stroke (โรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน):
- การให้ยาลดการเกิดลิ่มเลือดหรือลดการจับตัวของเลือด:
ปฏิบัติการในช่วงที่เหมาะสม: การให้ยาที่ช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Clopidogrel, หรือ Dipyridamole
การให้ยาลดความหนืดของเลือด: เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอีกครั้ง เช่น Warfarin, Dabigatran, Rivaroxaban, Apixaban
- การผ่าตัดหรือการรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์:
การผ่าตัดการเอาส่วนขยายหรือส่วนที่ปกติของหลอดเลือดออก: เมื่อมีการอุดตันในหลอดเลือดสมอง
การใช้วิธีการทางการแพทย์เพื่อกำจัดการเกิดการตันหรือการอุดตันในหลอดเลือด: เช่นการใช้เทคนิคการบุโลหิตช่วยเคลื่อนเลือด (Thrombectomy), การใช้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis)
- การรักษาโรคร่วม:
การควบคุมความดันโลหิต: การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน
- Hemorrhagic Stroke (โรคหลอดเลือดสมองชนิดอิ่มตัน):
- การควบคุมความดันโลหิต:
การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการเกิดการลิ่มเลือดอีกครั้ง
- การผ่าตัดหรือการรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์:
การผ่าตัดเอาเลือดที่รั่วออก: เมื่อมีการรั่วเลือดในสมอง
การรักษาอย่างอื่นทางการแพทย์: การรักษาโรคหรืออาการร่วมอื่นๆ ที่อาจมีอันตรายต่อสมอง เช่น การควบคุมความดันโลหิต
- การจัดการโรคร่วม:
การควบคุมความดันโลหิต: เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดการรั่วเลือดอีกครั้ง
การรักษาโรคอื่น ๆ : เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือการจัดการโรคหัวใจ
อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคหลอดเลือดสมองต้องเป็นอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงความเหมาะสมและความเสี่ยงของแต่ละผู้ป่วย ดังนั้น การเลือกวิธีการรักษาจะต้องให้คำปรึกษาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องก่อนลงมือรักษาใด ๆ
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การป้องกันการกลับเป็นซ้ำหรือการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำในผู้ที่เคยเป็น Stroke เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเนื่องจากการเกิดซ้ำอาจมีผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ดังนั้น การป้องกันการกลับเป็นซ้ำมีความสำคัญมาก และสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้
ควบคุมปัจจัยเสี่ยง
- การควบคุมความดันโลหิต: การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติหรือใกล้เคียงกับระดับปกติ เป็นการลดความเสี่ยงของการเกิด Stroke ซ้ำ
- การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง
- การลดความอ้วน: การควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสมหรือลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกิน จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
รับประทานอาหารที่เหมาะสม
- การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารคุ้มค่า ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และน้ำตาลสูง เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- การเลิกสูบบุหรี่และการลดการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
การตรวจสุขภาพประจำ
- การตรวจสุขภาพประจำอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจความดันโลหิต ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจสุขภาพหัวใจ เป็นต้น
การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
- หากได้รับการรับประทานยาสำหรับความดันโลหิตสูง หรือยาสำหรับความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ให้รับประทานตามคำสั่งของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัดและการปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นจะช่วยลดความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่เคยเป็น Stroke ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากเรานั้นไม่อยากเป็นโรคนี้ เราก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี อีกทั้งยังรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อีกด้วย เพื่อที่เรานั้นจะได้ห่างไกลโรคนี้
อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคหลอดเลือดสมองต้องเป็นอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงความเหมาะสมและความเสี่ยงของแต่ละผู้ป่วย ดังนั้น การเลือกวิธีการรักษาจะต้องให้คำปรึกษาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องก่อนลงมือรักษาใดๆ