โรคเก๊าท์ เป็นหนึ่งในภาวะที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีผลกระทบต่อข้อต่อและก้อนเพนซ์ โรคนี้อาจก่อให้เกิดอาการอักเสบที่ข้อต่ออย่างเช่น ข้อเท้า ข้อหัวไหล่ หรือข้อเข่า โดยมักเกิดอาการปวดรุนแรงและบวม
โรคเก๊าท์ พบในอาหารบางประเภท เมื่อกรดยูริกมีมากเกินไป ร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ แต่หากขับออกไม่หมด กรดยูริกจะสะสมในร่างกายและตกผลึกตามข้อต่อต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน
สาเหตุของโรค
- สภาพพยาธิสภาพของร่างกาย: บางครั้งโรคเก๊าท์เกิดจากความผิดปกติในการขับถ่ายสารของร่างกาย ทำให้กรดยูริกสะสมที่ข้อต่อได้
- สาเหตุทางพันธุกรรม: การมีญาติที่เคยเป็นโรคเก๊าท์สามารถเป็นเหตุให้เกิดโรคในรุ่นต่อไปได้
- ปัจจัยสุขภาพ: การรับประทานอาหารที่มีปริมาณโปรตีนและแป้งมาก การดื่มแอลกอฮอล์ และปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและโรคอ้วน ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคเก๊าท์ได้
อาการของโรค
อาการปวดข้อ: มักเกิดขึ้นเฉียบพลัน มักปวดที่ข้อโคนหัวแม่โป้งเท้า แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับข้ออื่นๆ เช่น ข้อเท้า เข่า ข้อศอก นิ้วมือ
อาการบวม: ข้อที่ได้รับผลกระทบจะบวม แดง ร้อน
อาการตึง: รู้สึกตึงหรือแข็งในข้อที่ได้รับผลกระทบ
อาการอักเสบ: ข้อที่ได้รับผลกระทบอาจรู้สึกอักเสบ
ปัจจัยเสี่ยงของโรค
เพศ: ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิง โรคเก๊าท์เป็นภาวะที่มีความเสี่ยงสูงกว่าในผู้ชายเมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิง สาเหตุสำคัญที่ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าได้แก่ปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางการดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย ดังนี้:
ปัจจัยทางพันธุกรรม: มีภูมิคุ้มกันหรือความอยู่รอดจากโรคเก๊าท์ในผู้ชายที่มีลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมมากกว่าในผู้หญิง ซึ่งทำให้ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นโรคเก๊าท์
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน: ระดับฮอร์โมนทางเพศชาย (testosterone) สามารถเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการสะสมของกรดยูริก ซึ่งอาจทำให้ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเป็นโรคเก๊าท์
แบบอาหารและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ: พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่ดี เช่น การบริโภคอาหารที่มีปริมาณปลายยูริกสูง การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยที่เสี่ยงสูงให้เกิดโรคเก๊าท์ และการวิ่งออกกำลังกายน้อยกว่าที่แนะนำ ส่งผลให้ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเป็นโรคเก๊าท์
อายุ: โรคเก๊าท์มักเกิดในผู้สูงอายุมากกว่าในกลุ่มอายุอื่น ๆ ซึ่งระยะเวลานี้ผู้ชายมักมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงในการเป็นโรคเก๊าท์
อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นไปได้และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมยังสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคเก๊าท์ในทั้งผู้ชายและผู้หญิง.
อาหาร: โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของสารตะกูลปลายมากที่เรียกว่ากรดยูริกในร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากการเกิดปัญหาในกระบวนการขับถ่ายสารตะกูลปลายมากหรือการลดการละลายของกรดยูริกในร่างกาย อาหารที่เสี่ยงเป็นโรคเก๊าท์มักเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบที่ส่งผลให้เกิดการสะสมของกรดยูริกได้ ดังนั้น อาหารที่มีความเสี่ยงสูงเป็นดังนี้:
เนื้อสัตว์และอาหารที่ติดต่อกัน: เนื้อสัตว์และอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง เช่น เนื้อเป็ด ซึ่งมักมีการสะสมของกรดยูริกในร่างกายได้มาก
อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง: อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเก๊าท์ เช่น อาหารหวาน ขนม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเข้าไป
อาหารที่มีการต้านการออกฤทธิ์ของอินซูลิน: อาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงหรือมีดัชนีกลางของการเพิ่มน้ำตาลในเลือด (GI) สูง อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเก๊าท์ เนื่องจากพวกนี้ส่งผลให้เกิดการเร่งการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเก๊าท์ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถลดการละลายของกรดยูริกในร่างกายและส่งผลให้เกิดการสะสมของกรดยูริกได้
การรักษาโรคเก๊าท์นอกจากการกำหนดอาหารและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การลดน้ำหนัก และการดื่มน้ำมากพอดี แพทย์ยังอาจสั่งยาเพื่อลดการสะสมของกรดยูริกในร่างกายด้วย
วิธีการจัดการโรค
- การควบคุมอาหาร: ลดปริมาณอาหารที่มีปริมาณกรดอุจจาระสูง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารที่อุดมไปด้วยแป้ง เพื่อลดการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์และช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง
- การรักษาโรค: การใช้ยาต้านการเกิดกรดอุจจาระสูง (ยาอินฟลามาโทร หรือยาโคลจิซีน) เพื่อช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในร่างกาย
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง
โรคเก๊าท์ เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และพบแพทย์ตามนัด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข